ป้ายกำกับ: ข่าวสังคมทั่วไป

ถ้าต้องเปิดการเรียนออนไลน์ในช่วงโควิดระบาด

ถ้าต้องเปิดการเรียนออนไลน์ในช่วงโควิดระบาด อาจเป็นการสร้างความเลื่อมล้ำทางการศึกษา

        ช่วงนี้ที่ไวรัสโควิดกำลังระบาดแต่ก็ดันเป็นช่วงที่เด็กนักเรียนและนักศึกษากำลังจะเปิดเทอมทำให้รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการต่างก็ต้องปวดหัวกันเป็นอย่างมากว่าหากถึงช่วงเดือนที่จะต้องเปิดการศึกษาเด็กนักเรียนจะสามารถไปโรงเรียนได้หรือไม่ในสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่สามารถควบคุมไม่ให้เชื้อไวรัสระบาดได้เลยดังนั้นความคิดหนึ่งที่กระทรวงศึกษาธิการมีขึ้นมานั่นก็คือการเปิดการเรียนการสอนผ่านทางระบบออนไลน์

ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยให้ทางโรงเรียนมีการส่งเอกสารไปสำรวจกับผู้ปกครองว่าใครสะดวกที่จะเรียนออนไลน์ได้หรือไม่ไกลมีคอมพิวเตอร์อยู่ที่บ้านหรือมี laptop อยู่ที่บ้านพอที่จะสามารถเปลี่ยนผ่านระบบออนไลน์ได้หรือเปล่าระบบ Wifi ระบบสัญญาณอินเตอร์เน็ตของที่บ้านของผู้ปกครองคนไหนดีหรือไม่ดีอย่างไร

ซึ่งหลังจากที่มีการประเมินข้อมูลแล้วก็พบว่าหากเรามีการปล่อยให้มีการเรียนออนไลน์เกิดขึ้นจะเกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาสำหรับเด็กนักเรียนระหว่างเด็กในกรุงเทพฯและเด็กต่างจังหวัดเนื่องจากผู้ปกครองแต่ละคนมีต้นทุนชีวิตไม่เท่ากันดังนั้นเด็กนักเรียนจึงไม่ใช่ทุกบ้านที่จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ประจำบ้านและมีอินเทอร์เน็ตพอที่จะให้เด็กนักเรียนเรียนผ่านออนไลน์ได้ทุกหลังคาเรือนซึ่งถ้าหากจำเป็นจะต้องมีการเปิดการเรียนออนไลน์จริงๆทางรัฐบาลก็คงจะต้องมีการแต่คอมพิวเตอร์ให้กับผู้ปกครองบ้านหลังคาเรือนเลยทีเดียวยิ่งเด็กต่างจังหวัดแล้วเงินที่จะใช้ซื้อข้าวกินในแต่ละวัน

ยังค่อนข้างหาลำบากดังนั้นอย่าเพิ่งถามถึงเรื่องของคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตที่จะติดเอาไว้ใช้สำหรับเรียนได้เลยซึ่งถ้าหากมองว่าหากโรงเรียนไหนมีความพร้อมก็สามารถเปิดออนไลน์ได้นั้นก็กลายเป็นว่าจะมีข้อเปรียบเทียบให้เด็กเห็นอยากได้ชัดเจนโดยเด็กที่เรียนโรงเรียนเอกชนก็จะถูกมองว่าเป็นเด็กที่ร่ำรวยสามารถเรียนผ่านระบบออนไลน์ได้

เพราะที่บ้านมีคอมพิวเตอร์มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตในขณะที่เด็กเรียนโรงเรียนรัฐบาลหรือโรงเรียนวัดก็จะไม่สามารถเรียนได้จำเป็นจะต้องหยุดการเรียนการสอนไปก่อนเพื่อรอให้เชื้อไวรัสสามารถควบคุมได้หลังจากนั้นทางโรงเรียนถึงจะเปิดให้นักเรียนไปเรียนซึ่งแน่นอนว่าหากทำเช่นนี้เด็กที่เรียนออนไลน์ก็จะเรียนได้เร็วกว่าและเด็กที่ต้องรอโรงเรียนเปิดแล้วไปเรียนกับทางคุณครูเองนั้น

ก็จะเรียนได้ช้ากว่าทั้งที่อายุเท่ากันซึ่งนี่จะเกิดความเหลื่อมล้ำขึ้นมาในสังคมและของตัวเด็กนักเรียนเองดังนั้นอาจจะต้องมีการเรื่องการเรียนการสอนออกไปในช่วงที่ยังมีการระบาดของเชื้อไวรัสนี้ทางกระทรวงศึกษาธิการอาจจะต้องมีการตัดสินใจให้ดีเพื่อไม่ให้เด็กเกิดความรู้สึกถึงความเหลื่อมล้ำของฐานะตนเองกับคนอื่น

 

ขอบคุณ  next88 thailand  ที่ให้การสนับสนุน

ยืนยันข้อมูลจากทางกรมอนามัย

หยุดลวกช้อนและส้อมในหม้อน้ำร้อนของศูนย์อาหารเพราะเสี่ยงติดเชื้อไวรัส

     มีกันออกมายืนยันข้อมูลจากทางกรมอนามัยเกี่ยวกับเรื่องที่หลายคนเคยสงสัยกันว่าการที่เรานำช้อนไปลวกในหม้อน้ำร้อนที่ทางศูนย์อาหารมีการวางไว้ให้นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่โดยส่วนใหญ่มองว่าการลวกช้อนในน้ำร้อนคือการฆ่าเชื้อโรคอย่างหนึ่งแต่อีกหลายคนก็ออกมาบอกว่าสิ่งที่ทำอยู่ในตอนนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเพราะแทนที่จะเป็นการฆ่าเชื้อโรคกลับเป็นการเพิ่มเชื้อโรคเข้ามามากกว่าเนื่องจากว่ามีหลายคนที่ใช้ช้อนแล้วมารวบรวมกันซึ่งทำให้บางครั้งอาจจะนำมาของการติดต่อของเชื้อโรคก็เป็นได้

โดยทางกรมอนามัยได้ออกมาชี้แจงว่าการที่น้ำร้อนจะสามารถฆ่าเชื้อโรคได้นั้นจะต้องมีความร้อนสูงถึง 80 และ 90 องศาและต้องใช้เวลาในการลวกนานประมาณ 4 นาทีเป็นต้นไปดังนั้นการที่เราแค่นำช้อนมาจุ๋มน้ำร้อนแล้วเอาขึ้นจึงไม่ใช่วิธีการที่จะเป็นการฆ่าเชื้อโรคได้

     นักข่าวได้มีการเข้าไปสอบถามกับทางกรมอนามัยกับเรื่องราวที่กำลังมีการแชร์อยู่ในขนาดนี้เกี่ยวกับการลวกช้อนและซ่อมในหม้อน้ำร้อนที่มีการตั้งเอาไว้ตามศูนย์อาหารทั่วไปโดยมีการนำมาพูดกันว่าเป็นการเพิ่มโอกาสให้คนติด เชื้อโรคมากกว่าที่จะเป็นการฆ่าเชื้อโรคซึ่งทางกรมอนามัยก็ออกมายืนยันว่าข้อมูลดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องจริงเนื่องจากว่าจากการสำรวจที่ทางกรมอนามัยลงไปเช็คตามศูนย์อาหารจะพบว่าทางศูนย์อาหารมักจะมีการต้มน้ำร้อนไว้ที่อุณหภูมิประมาณ 40 ถึง 50 องศาเท่านั้น

ซึ่งความร้อนขนาดนี้จะไม่สามารถที่จะทำลายหรือฆ่าเชื้อโรคได้ดังนั้นการที่ประชาชนนำช้อนไปลวกในน้ำร้อนที่มีอุณหภูมิแค่เพียง 40 องศาจึงไม่ใช่การฆ่าเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสแต่อย่างใดซึ่งอุณหภูมิความร้อนที่ถูกต้องที่จะสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื่อไวรัสได้นั้นควรจะอยู่ที่ 80 ถึง 90 องศาเป็นต้นไป

และจะต้องนำช้อนรวกแชทค้างไว้ประมาณถึง 4 นาทีถึงจะเป็นการฆ่าเชื้อโรคได้แต่ในขณะเดียวกันที่ทำอยู่ในตอนนี้เป็นการแค่จุ๋มแล้วเอาขึ้นเท่านั้นสรุปผมก็แค่40 องศาซึ่งไม่เพียงพอที่จะทำให้เชื้อโรคตายได้และยิ่งต้มน้ำนานเท่าไหร่ก็เท่ากับว่าเชื้อโรคมีปริมาณมากขึ้นเท่านั้นและหากเรานำช้อนไปจุ๋มก็เท่ากับเราเอาเชื้อโรคเข้ามาไว้ในร่างกายซึ่งทำให้เกิดปัญหาของโรคท้องร่วงตามมาได้ซึ่งหากใครต้องการที่จะรวบช้อนในน้ำร้อนเพื่อต้องการฆ่าเชื้อโรคนั้นคุณจะดูได้ว่าน้ำร้อนนั้นมีอุณหภูมิสูงถึง 80 องศาหรือไม่และต้องลวกให้นานถึง 4 นาทีขึ้นไปจึงจะทำให้ร่างกายปลอดภัยจากเชื้อโรค